ขั้นตอนการเล่น Poker อย่างละเอียด แบบม้วนเดียวจบ
( ขั้นตอนการเล่น Poker อย่างละเอียด แบบม้วนเดียวจบ ) จากบทความที่ผ่านมาเราได้อธิบายไปแล้วว่า Poker คืออะไร มีจุดเริ่มต้นความเป็นมาอย่างไหร่กันไปบ้างแล้ว ซึ่งในบทความนี้เราจะพาคุณไปรู้จักกับ Poker มากขึ้น ทั้งเรื่องของกติกา และลำดับไพ่ Poker อย่างละเอียดยิบ ชนิดที่ว่าไม่เคยเล่นมาก่อนยังเข้าใจได้ง่าย ๆ การเข้าใจเรื่องของกติกาก่อนที่จะเล่นเป็นสิ่งจำเป็นมาก ๆ เพราะหากว่าคุณไม่รู้ว่าจะต้องดูแต้มอย่างไหร่ คุณอาจจะเสียเงินในขณะที่ไพ่ของคุณมีโอกาสชนะก็ได้ ส่วนรายละเอียดจะมีอะไรบ้างมาลองดูกัน
คุณอาจอยากรู้วิธีใช้เทคนิคการเล่นโป๊กเกอร์ ลองอ่านบทความนี้ การใช้เทคนิคเกมไพ่ Poker ให้เป็น
กติกาการเล่น Poker
กฎการเล่น Poker หลัก ๆ จะเป็นเกมที่ต้องใช้ผู้เล่นตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ซึ่งอาจจะมีผู้ชนะ 1 หรือ 2 (หากผลออกมาเสมอ) ก็ได้ ส่วนกติการแยกย่อย ๆ ออกไป ทางเราจะอธิบายในลำดับถัดไป ก่อนอื่นสิ่งที่คุณควรต้องรู้คือคำศัพท์ของเกม Poker เสียก่อน
คำศัพท์ของเกม Poker
สำหรับเกม Poker จะมีศัพท์ในการเล่นอยู่มากมาย แต่คุณอาจจะไม่จำเป็นต้องรู้ทุกตัวก็ได้ รู้เฉพาะคำศัพท์ที่ต้องใช้งานบ่อย ๆ ก็เพียงพอ
1. Dealer – คือ ผู้เล่นที่ถูกแต่งตั้ง (แบบสมมุติ) ให้เป็นคนแจกไพ่ ซึ่งจะไม่ได้เป็นคนแจกไพ่จริง ๆ และเล่นเป็นคนสุดท้าย
2. Button – คือ ปุ่ม เป็นเครื่องหมายที่หน้าผู้เล่น 1 คน ซึ่งในแต่ละเกมจะเปลี่ยนคนถือด้วยการวนไปตามเข็มนาฬิกา ชื่อผู้เล่นในตำแหน่งนี้จะเรียกว่า Dealer หรือ Button
3. Hold cards – คือ ไพ่ที่รับแจกมาจากคนแจกไพ่จริง ๆ โดยตอนแจกจะคว่ำหน้าไพ่ลงไม่ให้ผู้เล่นคนอื่นได้เห็นว่าหน้าไพ่เป็นอย่างไหร่
4. Big blind (BB) – คือ ผู้เล่นที่จะต้องลงเดิมพันตามจำนวนเงินขั้นต่ำของโต๊ะพนัน เช่น ถ้าเงินขั้นต่ำสุดบนโต๊ะอยู่ที่ 50 บาท ผู้เล่นคนนี้ก็จะถูกบังคับให้ลงเงินที่ 50 บาททันที แม้จะเล่นหรือไม่เล่นเกมนี้ก็ตาม
5. Small Blind (SB) – คือ ผู้เล่นที่จะต้องลงเดิมพันแค่ครึ่งหนึ่งของเงินเดิมพันต่ำสุดของโต๊ะ เช่น ถ้าเงินขั้นต่ำบนโต๊ะอยู่ที่ 50 บาท SB จะต้องลงเงินที่ 25 บาททันที
6. Flop – คือ ชื่อของไพ่ที่ผู้แจกไพ่ได้แจกลงไปบนโต๊ะ 3 ใบในการเล่นรอบแรก โดยจะเป็นไพ่กองกลางหงายหน้าขึ้น
7. Turn – คือ ชื่อไพ่ที่แจกลงบนโต๊ะ เป็นกองกลางใบที่ 4
8. River – คือ ชื่อไพ่กองกลางใบที่ 5 หรือเป็นใบสุดท้ายนั่นเอง
หลักกติกาของการเล่น Poker
เกม Poker ในแต่ละเกมผู้เล่นสามารถวางเดิมพันได้หลายรอบ โดยเริ่มตั้งแต่ก่อนที่แจกไพ่ และหลังจากแจกไพ่ ซึ่งการเดิมพันทำได้เรื่อย ๆ จนกว่าไพ่จะครบตามกฎของชนิดโป๊กเกอร์ที่กำลังเล่น จากนั้นก็จะนำไพ่มาผสมกันเป็นไพ่ 5 ใบ แล้วเทียบกับลำดับไพ่โป๊กเกอร์ เพื่อที่จะดูคะแนนว่าใครจะได้คะแนนมากที่สุด เท่ากับว่าจบลง 1 เกม ซึ่งแต่ละเกมจะมีผู้ชนะได้แค่ 1 คน หรือเสมอ
คุณอาจสนใจบทความนี้ คลิกอ่าน เทคนิคเล่น Poker แบบมืออาชีพ
1. ก่อนเกม Poker ทุกชนิดจะเริ่มเปิดเกม dealer หรือ ผู้ทำหน้าที่แจกไพ่จะทำการแจกไพ่ให้กับผู้เล่นทุกคนที่อยู่บนโต๊ะโดยให้ถือไว้บนมือ (Hold card)
2. เมื่อผู้เล่นทุกคนได้รับไพ่ครบแล้ว คนที่จะได้เริ่มเล่นเป็นคนแรกจะอยู่ทางด้านซ้ายมือของ Big blind (แบบนี้จะเป็นกรณีการเล่นแจกไพ่ flop)
3. หลังจากที่ผู้เล่นเห็นไพ่ของตัวเอง จะมีทางเลือกให้กับผู้เล่นอยู่ 1 ใน 4 ทาง คือ
- Fold – คือ ทิ้งไพ่บนมือ หรือ หมอบ เพราะรู้สึกไม่อยากเล่นในเกมนี้
- Call – คือ การลงเงินเดิมพันสูงสุดบนโต๊ะตามจำนวนชิปบนโต๊ะในรอบของการเล่น
- Raise – คือ การเพิ่มเงินเดิมพันสูงสุดบนโต๊ะ ซึ่งตามกฎแล้วถ้ามีผู้เล่น raise ผู้เล่นคนอื่นจะต้อง call เพื่อเพิ่มชิปเดิมพันให้เท่ากัน หรือจะเลือก raise เพิ่มเงินเดิมพันเข้าไปอีก และถ้าไม่ต้องการเล่นต่อก็ให้ fold ไป
- Check – คือ เมื่อชิปเดิมพันของคุณเท่ากับชิปเดิมพันสูงสุดบนโต๊ะในช่วงนั้น แล้วคุณไม่ต้องการที่จะวางเงินเดิมพันเพิ่ม ก็ให้ขอผ่าน และหากผู้เล่นทุกคน check ครบแล้ว ผู้ทำหน้าที่แจกไพ่จะเริ่มในรอบต่อไป โดยส่วนใหญ่แล้วผู้เล่นจะทำการส่งสัญลักษณ์ด้วยการเคาะโต๊ะ
4. หากมีผู้เล่นเลือกไม่ทิ้งไพ่ ก็ให้ทำการเล่นตาม 4 ตัวเลือกข้างต้นเช่นเดิม เมื่อจบรอบ ก็ให้เริ่มรอบต่อไป ผู้ทำหน้าที่แจกไพ่ก็จะแจกไพ่กองกลางใบที่ 4 ต่อไปจะเรียกว่า Turn และเข้าสู่เกมการเล่นในรอบต่อไป
5. เมื่อเล่นวนจนเข้าสู่รอบสุดท้าย ผู้ทำหน้าที่แจกไพ่ก็จะแจกไพ่กองกลางใบสุดท้าย หรือที่เรียกว่า river ซึ่งเท่ากับว่าเป็นการแข่งขันรอบสุดท้ายด้วย
6. พอมาถึงรอบการเล่นสุดท้ายผู้เล่นที่เหลืออยู่จะต้องเปิดไพ่ เพื่อวัดคะแนนเทียบกันดูว่าไพ่ของใครที่ผสมไพ่ 2 ใบบนมือ กับไพ่อีก 5 ใบบนโต๊ะ ใครที่ได้ไพ่คะแนนมากที่สุดก็จะเป็นฝ่ายชนะ
ชนิดของแต่ละเกมไพ่ Poker
คำว่าเกมโป๊กเกอร์หลายคนคงเข้าใจว่าเล่นได้แค่ชนิดเดียว ในความเป็นจริงแล้วโป๊กเกอร์มีวิธีเล่นได้หลายรูปแบบ แถมมีกติกาการเล่นที่ไม่เหมือนกัน แต่ไม่มากเท่าไหร่
Texus Hold’em
สำหรับโป๊กเกอร์ที่ได้รับความนิยมจากผู้เล่นมากที่สุดคือ โฮลเอ็ม ขั้นตอนการเล่นผู้เล่นจะได้รับการแจกไพ่ 2 ใบ และแจกลงตรงกองกลางอีก 5 ใบ เท่ากับว่าผู้เล่นแต่ละคนจะต้องรวมไพ่ทั้งหมด 7 ใบให้มีคะแนนออกมาดีที่สุด เพราะเมื่อถึงรอบที่จะต้องโชว์ไพ่ ผู้เล่นคนไหนที่เรียงไพ่ออกมาได้ดีจะเป็นฝ่ายชนะและได้รับเงินรางวัลกองกลางไป หรือหากผู้เล่นคนอื่น ๆ ทิ้งไพ่จนหมด ผู้เล่นที่เหลือเป็นคนสุดท้ายก็จะได้เงิน Pot ไปนั่นเอง
Omaha
โป๊กเกอร์ที่ได้รับความนิยมรองลงมาก็คือ โอมาฮ่า ในเกมนี้ผู้เล่นจะได้ไพ่คนละ 4 ใบ และมีไพ่กองกลางอีก 5 ใบ ซึ่งผู้เล่นจะต้องใช้ไพ่บนมือ 2 ใบนำมาแทนที่ไพ่กองกลาง ผสมรวมกันเป็นชุดไพ่ 5 ใบ เมื่อนำมาวัดคะแนนกันตามลำดับของโป๊กเกอร์ จะใช้วัดแค่ 2 ใบเท่านั้น ห้ามมากกว่า หรือ ต่ำกว่า 2 ใบ เด็ดดขาด
7/5 Stud
ส่วนสตัด จะเป็นเกมโป๊กเกอร์ที่ไม่มีไพ่กองกลางให้ วิธีการเล่นก็คือ ผู้ทำหน้าที่แจกไพ่จะคว่ำไพ่ให้กับผู้เล่น ซึ่งจะแยกออกไป 5 stud และ 7 stud คือ
1. 5 Stud ผู้เล่นจะได้รับแจกไพ่ 5 ใบคว่ำ เมื่อได้ครบแล้วก็ให้เริ่มการแข่งขันด้วยไพ่บนมือทั้ง 5 ใบนั้นเลย ผู้เล่นคนไหนที่ได้รับไพ่คะแนนมากกว่า ตามลำดับคะแนนของโป๊กเกอร์
2. 7 Stud ผู้เล่นจะได้รับแจกไพ่ 7 ใบคว่ำ โดยจะแบ่งแจกออกเป็น 5 รอบซึ่งการแจกไพ่แต่ละรอบที่แจกไพ่ ผู้เล่นสามารถที่จะวางเดิมพันได้ จนกว่าจะได้รับการแจกไพ่จนครบ ดังนี้
- รอบที่ 1แจกไพ่ 3 ใบ ซึ่งสองใบแรกจะเป็น ไพ่คว่ำ ส่วนอีก 1 ใบจะได้รับเป็น ไพ่หงาย
- รอบที่ 2 แจกไพ่เพิ่มอีก 1 ใบ เป็นไพ่หงาย เท่ากับว่าในรอบนี้ผู้เล่นจะได้ไพ่อยู่ 4 ใบ
- รอบที่ 3 แจกไพ่เพิ่มอีก 1 ใบเป็นไพ่หงาย รวมมีไพ่บนมือแล้ว 5 ใบ
- รอบที่ 4 แจกไพ่เพิ่มอีก 1 ใบเป็นไพ่หงาย รวมไพ่บนมือเท่ากับ 6 ใบ
- รอบที่ 5 แจกไพ่เพิ่มอีก 1 ใบเป็นไพ่คว่ำ ซึ่งในรอบนี้รวมไพ่ทั้งหมด 7 ใบ
- หลังจากแจกไม่ไพ่ให้กับผู้เล่นครบหมดแล้ว ผู้เล่นจะต้องเลือกไพ่ 5 ใบที่อยู่บนมือมาเทียบคะแนนกันตามลำดับไพ่ของโป๊กเกอร์ ผู้เล่นคนไหนที่สามารถเรียงไพ่ได้คะแนนมากที่สุดก็จะเป็นฝ่ายชนะในเกมทันที
Mix Game Poker
เป็นเกมโป๊กเกอร์ที่ใช้กติกาอื่น ๆ เข้ามาเพิ่มเติม ด้วยการนำเกมโป๊กเกอร์ตามข้างต้นมาประยุกต์เข้าด้วยกัน ซึ่งในปัจจุบันจะมีประมาณ 8 เกมด้วยกัน แต่ละเกมก็จะมีกติกาแยกออกมายิบย่อยอีก โดยจะมีชื่อเกม ดังนี้
- Razz
- Limit 2-7 Triple Draw
- Limit Hold’ em
- Limit Omaha Eight or Better
- Limit 7 Card Stud
- Limit Stud Eight or Better
- No Limit Hold’em
- Pot Limit Omaha
ลำดับไพ่ของ Poker
สำหรับเกมโป๊กเกอร์แล้วเรื่องของลำดับไพ่ถือได้ว่ามีความสำคัญมากที่สุดรองจากแต้มของไพ่ จัดได้ว่าเป็นเป้าหมายสำคัญของเกม ซึ่งผู้เล่นจะต้องเรียงไพ่ให้ได้ตามลำดับยิ่งถ้าคุณสามารถเรียงไพ่ให้ได้แต้มที่ดีมากเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งมีโอกาสชนะในเกมนั้น ๆ มากขึ้นเท่านั้น โดยโป๊กเกอร์ทุกเกมจะใช้หลักการเรียงไพ่เหมือนกันทั้งหมด ส่วนไพ่ไหนมีคะแนนเป็นอย่างไหร่ ดูได้ดังนี้ (การเรียงไพ่จะเริ่มจากคะแนนสูงสุดไปจนถึงคะแนนน้อยสุด)
Remark – ตัวคุม หรือที่เรียกว่า Kicker ผู้เล่นจะใช้เรียกในกรณีที่ไพ่มีคะแนนเท่ากัน ซึ่งตัวคุมนี้จะเป็นไพ่ใบที่มีแต้มมากที่สุด นอกจากไพ่ที่คุณนำมาผสมเป็นชุดเพื่อวัดลำดับคะแนน อาทิคู่ Ace เหมือนกัน ส่วนใบที่เหลือก็จะใช้เป็นตัวเทียบว่าตัวคุม ไหนใหญ่กว่ากัน เช่น มี คู่ Ace,7 กับ คู่ Ace,2 โดยคู่ Ace,7 จะชนะ เพราะมีตัวคุม 7 ใหญ่กว่า 2
– Royal Straight Flush = ไพ่ที่เรียงลำดับกันด้วย Ace, K, Q, J 10 ดอกเดียวกัน ไพ่ที่จะออกลำดับแบบนี้เป็นการเรียงไพ่ที่ใหญ่ที่สุดของสำรับ ซึ่งโอกาสที่จะออกลักษณะนี้น้อยมาก ๆ หากดวงไม่เฮงจริง ๆ คงไม่มีทางที่จะออกแน่ ๆ เรียกได้ว่ามีโอกาสออกอยู่ที่ 0.00015%
– Straight Flush = เป็นไพ่ 5 ใบที่เรียงกันด้วยดอกเดียวกันหมด ซึ่งก็ออกได้ยากมากเช่นเดียวกัน แต่ก็ไม่ใช่ไม่มีโอกาสเลย ยังพอมีให้เห็นกันอยู่บ้างเล็กน้อย ส่วนโอกาสที่จะออกลักษณะนี้จะอยู่ที่ 0.0015%
– Four of kind = ไพ่ที่ออกแต้มเดียวกัน 4 ใบเรียงกัน มีโอกาสที่จะออกได้ 0.024๔
– Full House = เป็นไพ่ที่เรียงออกมาด้วยตอง 1 ชุด และคู่ 1 ชุด หากผลที่ออกมาเท่ากับผู้เล่นคนอื่น จะตัดสินด้วยเลขตองก่อน พร้อมดูว่าคู่ใครใหญ่กว่า มีโอกาสที่จะออก 0.14%
– Flush = ไพ่ลักษณะนี้จะเป็นแบบออกดอกเดียวกันทั้งหมด ไม่ได้เรียงลำดับ หากมีผู้เล่นคนอื่นออกเหมือนกันก็ให้นับดูตัวที่ใหญ่สุดเป็นตัว Kicker หรือตัวคุม มีโอกาสที่จะออกถึง 0.2%
– Straight = เป็นไพ่ที่นำมาเรียงลำดับกัน 5 ใบแบบคนละดอกกันก็ได้ ถ้ามีผู้เล่นคนอื่นออกเหมือนกันให้เทียบตัวใหญ่ที่สุดเป็นตัว Kicker ด้วย Ace จะถือได้ว่าเป็นแต้มใหญ่ที่สุด หรือเล็กสุด กรณีที่เรียง A, K, Q, J, 10 จะนับว่า Ace ใหญ่สุด แต่ถ้าเป็นลักษณะ 5, 4, 3, 2, A ก็จะถือว่า Ace เป็นตัวเล็กสุด มีโอกาสออก 0..39๔
– Three of kind = ไพ่ที่มีแต้มเดียวกันออก 3 ใบเรียง ถ้าผู้เล่นคนอื่นออกเหมือนกันก็ให้ดูอีก 2 ตัวที่เหลือว่าเป็นตัว Kicker หรือไม่ โอกาสที่จะออกแบบนี้เป็น 2.1%
– Two Pair = เป็นไพ่คู่ 2 คู่ มีกรณีที่มีผู้เล่นคนอื่นออกแบบนี้เหมือนกันให้ดูจากคู่แรกก่อน แล้วค่อยดูคู่ที่สองต่อมาตามลำดับ หากว่าเหมือนกันอีกก็ให้ดูตัวคุม ซึ่งโอกาสที่จะออกมี 4.75%
– One pair = คู่เดียว จะเป็นไพ่ที่มีการออกบ่อยมากที่สุด ด้วยการนับดูว่าคู่ไหนใหญ่กว่ากัน แต่ถ้ามีแต้มเท่ากันก็ให้ดูไพ่ที่เหลืออยู่ว่าใครใหญ่กว่าเป็นตัวคุม มีโอกาสออกสูงถึง 42%
– High Card = เป็นไพ่ที่มีแต้มสูงมาก กรณีที่ไม่ตรงกับการเรียงในรูปแบบไหนเลย ฉะนั้นผู้เล่นคนไหนที่มีแต้มสูงกว่าก็เป็นฝ่ายชนะ แต่ถ้าแต้มเท่ากันก็ให้ดูใบต่อไป แต่ถ้ายังเรียงได้เท่ากันอีกก็ให้แบ่งเงินกองกลาง มีโอกาสที่จะออกแบบนี้ 50%
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าคะแนนของไพ่เรียงจะเริ่มจากคะแนนมากุสดไปน้อยสุด คือ Royal flush, Straight Flush, Four of kind, Full House, Flush, Straight, Three of kind, Two pair, One pair, High card
อย่างไรก็ตามถ้าคุณไม่มีไพ่ที่สามารถนำมาเรียงต่อกันได้ดี ๆ ตั้งแต่เริ่มแจกไพ่ flop (ไพ่กองกลาง 3 ใบแรก) ให้ทิ้งไพ่ไปได้เลย เพราะว่าการเล่น High card (ไพ่แต้มสูง) ซึ่งมีความเสี่ยงสูงมาก ส่วนมากแล้วในวงไพ่โป๊กเกอร์จะต้องมีคนออก 1 คู่เกือบทุกรอบ แต่อย่างที่กล่าวไว้ในตอนต้นว่าเกมโป๊กเกอร์ไม่ใช่จะชนะเพราะแค่ได้ไพ่ดี ซึ่งยังอีกอย่างที่เรียกว่าการ “บลัฟ” หรือ “ลักไก่” เพื่อใช้ประโยชน์ในการข่มขวัญคู่ต่อสู้ตลอดของการแข่งขัน ซึ่งถ้าผู้เล่นคนอื่นก็มีแต้มคู่ คุณจะต้องหลอกล่อให้ฝ่ายตรงข้ามคิดว่ามีไพ่เรียงใหญ่กว่า เทคนิคง่าย ๆ แคนี้ก็อาจทำให้คุณพลิกสถานการณ์มาเป็นฝ่ายชนะก็ได้ แม้จะมีแต้มน้อยกว่าก็ตาม
จบกันไปแล้วกับกติกา Poker รวมทั้งลำดับไพ่ Poker ทั้งหมด ซึ่งจะเป็นการอธิบายกติกาการเล่นและการนับแต้มหลักๆของเกม Poker ขั้นพื้นฐานของทุกเกมเท่านั้น หากต้องการลงรายละเอียดแยกย่อยลงไปอีกในแต่ละชนิดของเกม Poker ก็สามารถศึกษาได้จากบทความต่อไปที่เราจะนำมาฝากกัน