ประวัติความเป็นมาของเกมแบล็คแจ็ค
( ประวัติความเป็นมาของเกมแบล็คแจ็ค ) หากจะว่าไปปัจจุบันนี้มีเกมพนันออนไลน์ผุดขึ้นมาเชิญชวนให้นักพนันเข้าไปทดสอบฝีมือในคาสิโนออนไลน์อยู่มากมาย ส่วนมากจะเป็นเกมพนันที่เพิ่งเริ่มเล่นกันมาได้ไม่นาน จะมีก็แต่เกมแบล็คแจ็คที่เล่นกันมาตั้งแต่สมัยโบราณมาจนถึงปัจจุบัน นับได้ว่าเป็นเกมที่ประวัติความเป็นมาน่าสนใจไม่ใช่น้อย ฉะนั้นหากนักพนันท่านใดที่สนใจ วันนี้เราก็มีกฎกติกาการเล่น รวมทั้งอัตราการจ่ายอย่างละเอียด มาให้คุณใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจเข้าไปลองเล่นกันดู ถ้าพร้อมแล้วตามมากันเลย
อยากรู้ไหมว่าทำไมไพ่ป๊อกเด้งถึงได้นิยมเล่นกันทุกยุคทุกสมัย อ่านต่อ ป๊อกเด้ง คืออะไร
ประวัติความเป็นมาของเกมแบล็คแจ็ค
เกมแบล็คแจ็ค (Blackjack) มีต้นกำเนิดขึ้นครั้งแรกช่วงศตวรรษที่ 17 (ประมาณปี ค.ศ.1601) ในทวีปยุโรป ด้วยเกมแบล็คแจ็คเป็นเกมไพ่ที่เล่นง่าย ไม่มีความซับซ้อน และยังต้องใช้ผู้เล่นหลายคน จึงช่วยสร้างความสนุกสนาน ผ่อนคลายได้ดี ส่วนกติกาของเกมก็เพียงแค่รวมแต้มไพ่ที่อยู่ในมือ ให้ได้ใกล้เคียงหรือมีค่าเท่ากับแต้มสูงสุด คือ 21 แต้ม และที่สำคัญจะต้องมีแต้มเยอะกว่าเจ้ามือ ผู้เล่นก็จะเป็นฝ่ายชนะ พร้อมรับเงินรางวัลไปในทันที
และด้วยความที่เกมแบล็คแจ็คได้รับความนิยมจากนักพนันมากไม่แพ้เกมพนันอื่น ๆ จึงทำให้คาสิโนออนไลน์ได้นำเอาเกมไพ่แบล็คแจ็คเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งให้นักพนันได้เลือกเดิมพัน เท่ากับช่วยให้พวกเราทุกคนที่สนใจสามารถเข้าถึงเกมไพ่แบล็คแจ็คได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น
คุณอาจไม่รู้ว่าเกมน้ำเต้า ปูปลา เป็นเกมที่ฮิตจากอดึตถึงปัจจุบัน หากสนใจบทความนี้ อ่านต่อ เกมพนันยอดนิยมน้ำเต้าปูปลา
อัตราการจ่าย กฎกติกา และการเล่นเกมไพ่แบล็คแจ็ค
กฎกติกาของเกมไพ่แบล็คแจ็คขั้นพื้นฐาน มีอยู่ด้วยกัน 7 ข้อ คือ
1.วัตถุประสงค์หลักของเกมไพ่แบล็คแจ็ค คือ ผู้เล่นต้องรวมแต้มไพ่ในมือให้ได้แต้มใกล้เคียงกับ 21 แต้มมากที่สุด ในทางกลับกันก็ต้องไม่เกิน 21 แต้ม แม้เกินเพียงแค่ 1 แต้มก็ไม่ได้
2.หน้าไพ่แบล็คแจ็คที่เป็น A (เอช) จะมีค่าเท่ากับ 1 หรือ 11 แต้มก็ได้ขึ้นอยู่กับว่ารวมกับไพ่ชนิดไหน เช่น เมื่อไพ่ A อยู่รวมกับไพ่ตัวเลขก็จะมีค่า = 1 และถ้าไพ่ A อยู่รวมกับไพ่ K, Q, J ก็จะมีค่า = 11 นั่นเอง
3.และหน้าไพ่ที่มีรูปภาพเป็น K, Q, J แต้มของไพ่ก็จะมีค่าเท่ากับ 10
4.ส่วนไพ่หน้าอื่น ๆ ก็จะมีแต้มเท่ากับหมายเลขที่อยู่หน้าไพ่นั้น ๆ
5.สำหรับไพ่ 2 ใบแรกที่มีผลรวมของไพ่ A และไพ่ที่มี 10 แต้ม เมื่อนำมารวมกัน = 21 แต้ม จะเรียกว่าแบล็คแจ็ค ซึ่งมีอัตราการจ่ายอยู่ 1.5 เท่าของเงินที่วางเดิมพัน
6.หากว่าผลรวมของไพ่ผู้เล่น (เพลเยอร์) มีแต้มใกล้เคียงกับ 21 มากกว่าไพ่ของเจ้ามือ (ดีลเลอร์) ก็ให้ถือว่าผู้เล่นเป็นฝ่ายชนะ แต่ทว่าไพ่ของผู้เล่นมีแต้มมากกว่า 21 ก็จะแพ้ในทันที
7.เมื่อไพ่ของผู้เล่น และ เจ้ามือ มีแต้มไพ่เท่ากันในช่วงระหว่าง 17 – 21 ให้ถือว่าไม่มีฝ่ายไหนชนะ หรือที่เรียกกันว่า “เสมอ” ผู้เล่นก็จะไม่ได้รับเงินรางวัล ได้แต่เงินเดิมพันกลับคืนมาทั้งหมดเท่านั้นเอง
ไพ่แบล็คแจ็คมีวิธีเล่นยังไง
- ก่อนที่จะเริ่มเล่นทางคาสิโนจะมีนาฬิกาจับเวลาให้กับผู้เล่นวางเงินเดิมพัน เพื่อให้เวลากับผู้เล่นสามารถที่จะเลือกได้ว่าต้องการเดิมพันตรงตำแหน่งไหน หรือถ้าเลือกตำแหน่งไม่ได้ก็วางเดิมพันลงไปทุกตำแหน่งได้เช่นกัน
- เมื่อผู้เล่นเลือกและวางเดิมพันครบแล้ว ดีลเลอร์ก็จะเริ่มดำเนินการแจกไพ่ โดยผู้เล่นจะได้รับไพ่แจกคนละ 2 ใบ แบบคว่ำหน้า แต่ในส่วนไพ่ของดีลเลอร์จะถูกเปิดไพ่หงายไว้ 1 ใบ ส่วนอีก 1 ใบจะถูกปิดไว้ก่อน
- หลังจากที่ผู้เล่นเห็นไพ่ที่ได้รับแจกแล้ว ก็สามารถที่จะเรียกของไพ่เพิ่มได้ แต่จะเริ่มแจกตำแหน่งแรกทางขวามือก่อน และเลือกเพิ่มได้เรื่อย ๆ จนกว่าจะได้ผลรวมแต้มที่พอใจ คือ ต้องให้แต้มใกล้เคียงกับ 21 มากที่สุด ซึ่งคำสั่งในการเรียกไพ่เพิ่ม = Hit , ถ้าต้องการพอ = Stand , เพิ่มเงิน = Double และ ประกัน = Insurance
- กรณีที่คุณเลือกเพิ่มเงิน (Double) เงินคงเหลือของเราก็จะถูกดึงออกมา เพื่อเพิ่มเงินเดิมพันให้เป็น 2 เท่า
- ระหว่างที่เล่นอยู่ระบบจะจับเวลาตอนที่คุณเรียกไพ่ ซึ่งในช่วงนั้นคุณจะต้องเลือกว่าต้องการจะ “เรียกไพ่เพิ่ม” หรือจะ “อยู่” หากว่าคุณนิ่งเฉยไม่ตัดสินใจว่าจะเลือกอะไร ระบบก็จะถือว่าคุณ “อยู่” อัตโนมัติในทันที
- ถ้าผู้เล่นทุกคนที่อยู่บนโต๊ะ ได้เรียกไพ่เพิ่มแล้วแต้มออกมาเกิน 21 แต้ม ในขณะที่เจ้ามือมีแต้มอยู่ 17 แต้มขึ้นไป เจ้ามือก็จะสามารถเปิดไพ่ใบที่ 2 พร้อมกับขอวัดแต้มกับผู้เล่นได้เลยโดยไม่ต้องเรียกไพ่ใบที่ 3 เพิ่ม แต่ถ้ากรณีที่ไพ่ทั้งสองใบของเจ้ามือมีแต้มรวมกันน้อยกว่า 17 แต้ม เจ้ามือก็จะทำการเรียกไพ่เพิ่มเพื่อให้ได้แต้มใกล้เคียงกับ 21 แต้ม ในการวัดไพ่กับผู้เล่น
อัตราการจ่ายของเกมไพ่แบล็คแจ็ค
แต่ละคาสิโนออนไลน์ก็จะมีอัตราการจ่ายไม่เท่ากัน แต่ส่วนใหญ่แล้วอัตราการจ่ายจะอยู่ ดังนี้
-ผู้เล่นเป็นฝ่ายชนะ อัตราจ่ายจะอยู่ที่ 1 : 1
-Insurance อัตราจ่ายจะอยู่ที่ 2 : 1
-Blackjack (ผู้เล่นชนะด้วยไพ่ 2 ใบแต้ม 21) อัตราจ่ายจะอยู่ที่ 3 : 1
-ไพ่หมอบ / แยกไพ่ อัตราจ่ายจะอยู่ที่ ได้เงินเดิมพันคืน 100%
-คู่ผสม อัตราจ่ายจะอยู่ที่ 6 : 1
-คู่สี อัตราจ่ายจะอยู่ที่ 12 : 1
-คู่เพอร์เฟค อัตราจ่ายจะอยู่ที่ 25 : 1
เป็นอย่างไรกันบ้างกับรายละเอียดของเกมไพ่แบล็คแจ็คทั้ง ประวัติ กฎ กติกา วิธีเล่นเกม ที่เราได้รวบรวมมาให้ชนิดที่ว่าละเอียดยิบเลยทีเดียว ถึงใครที่ไม่เคยเล่นเกมไพ่แบล็คแจ็คมาก่อน ก็สามารถเล่นตามได้อย่างง่าย ๆ เพราะเกมไม่ต้องใช้เทคนิค คิดวิเคราะห์มากเท่ากับเกมไพ่อื่น ๆ ฉะนั้นหวังว่าคงมีประโยชน์กับผู้ที่สนใจเกมไพ่แบล็คแจ็ค ได้ลองเข้าไปเล่นได้ที่คาสิโนออนไลน์ที่มีเปิดให้เล่นอยู่มากมาย และขอให้สนุกกับเกมพร้อมกับได้กำไรคืนมาอย่างงามด้วยล่ะ