Categories
เกมไพ่แบล็คแจ็ค

แบล็คแจ็ค เกมพนันที่มีประวัติความเป็นนานนับทศวรรษ

ประวัติความเป็นมาของเกมแบล็คแจ็ค


 

 ( ประวัติความเป็นมาของเกมแบล็คแจ็ค ) หากจะว่าไปปัจจุบันนี้มีเกมพนันออนไลน์ผุดขึ้นมาเชิญชวนให้นักพนันเข้าไปทดสอบฝีมือในคาสิโนออนไลน์อยู่มากมาย ส่วนมากจะเป็นเกมพนันที่เพิ่งเริ่มเล่นกันมาได้ไม่นาน จะมีก็แต่เกมแบล็คแจ็คที่เล่นกันมาตั้งแต่สมัยโบราณมาจนถึงปัจจุบัน นับได้ว่าเป็นเกมที่ประวัติความเป็นมาน่าสนใจไม่ใช่น้อย ฉะนั้นหากนักพนันท่านใดที่สนใจ วันนี้เราก็มีกฎกติกาการเล่น รวมทั้งอัตราการจ่ายอย่างละเอียด มาให้คุณใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจเข้าไปลองเล่นกันดู ถ้าพร้อมแล้วตามมากันเลย

คุณอาจสนใจบทความนี้ อ่านต่อ ป๊อกเด้ง เล่นอย่างไร ถึงได้เป็นเกมไพ่ยอดนิยมทุกยุคทุกสมัย

blackjack เล่นยังไง

ประวัติความเป็นมาของเกมแบล็คแจ็ค

เกมแบล็คแจ็ค (Blackjack) มีต้นกำเนิดขึ้นครั้งแรกช่วงศตวรรษที่ 17 (ประมาณปี ค.ศ.1601) ในทวีปยุโรป ด้วยเกมแบล็คแจ็คเป็นเกมไพ่ที่เล่นง่าย ไม่มีความซับซ้อน และยังต้องใช้ผู้เล่นหลายคน จึงช่วยสร้างความสนุกสนาน ผ่อนคลายได้ดี ส่วนกติกาของเกมก็เพียงแค่รวมแต้มไพ่ที่อยู่ในมือ ให้ได้ใกล้เคียงหรือมีค่าเท่ากับแต้มสูงสุด คือ 21 แต้ม และที่สำคัญจะต้องมีแต้มเยอะกว่าเจ้ามือ ผู้เล่นก็จะเป็นฝ่ายชนะ พร้อมรับเงินรางวัลไปในทันที

และด้วยความที่เกมแบล็คแจ็คได้รับความนิยมจากนักพนันมากไม่แพ้เกมพนันอื่น ๆ จึงทำให้คาสิโนออนไลน์ได้นำเอาเกมไพ่แบล็คแจ็คเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งให้นักพนันได้เลือกเดิมพัน เท่ากับช่วยให้พวกเราทุกคนที่สนใจสามารถเข้าถึงเกมไพ่แบล็คแจ็คได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น

คุณอาจสนใจบทความนี้ อ่านต่อ น้ำเต้าปูปลา เกมพนันยอดฮิตจากอดีตถึงปัจจุบัน

อัตราการจ่าย กฎกติกา และการเล่นเกมไพ่แบล็คแจ็ค

กฎกติกาของเกมไพ่แบล็คแจ็คขั้นพื้นฐาน มีอยู่ด้วยกัน 7 ข้อ คือ

1.วัตถุประสงค์หลักของเกมไพ่แบล็คแจ็ค คือ ผู้เล่นต้องรวมแต้มไพ่ในมือให้ได้แต้มใกล้เคียงกับ 21 แต้มมากที่สุด ในทางกลับกันก็ต้องไม่เกิน 21 แต้ม แม้เกินเพียงแค่ 1 แต้มก็ไม่ได้

2.หน้าไพ่แบล็คแจ็คที่เป็น A (เอช) จะมีค่าเท่ากับ 1 หรือ 11 แต้มก็ได้ขึ้นอยู่กับว่ารวมกับไพ่ชนิดไหน เช่น เมื่อไพ่ A อยู่รวมกับไพ่ตัวเลขก็จะมีค่า = 1 และถ้าไพ่ A อยู่รวมกับไพ่ K, Q, J ก็จะมีค่า = 11 นั่นเอง

3.และหน้าไพ่ที่มีรูปภาพเป็น K, Q, J แต้มของไพ่ก็จะมีค่าเท่ากับ 10

4.ส่วนไพ่หน้าอื่น ๆ ก็จะมีแต้มเท่ากับหมายเลขที่อยู่หน้าไพ่นั้น ๆ

ไพ่แบล็คแจ็คประวัติยาวนาน

5.สำหรับไพ่ 2 ใบแรกที่มีผลรวมของไพ่ A และไพ่ที่มี 10 แต้ม เมื่อนำมารวมกัน = 21 แต้ม จะเรียกว่าแบล็คแจ็ค ซึ่งมีอัตราการจ่ายอยู่ 1.5 เท่าของเงินที่วางเดิมพัน

6.หากว่าผลรวมของไพ่ผู้เล่น (เพลเยอร์) มีแต้มใกล้เคียงกับ 21 มากกว่าไพ่ของเจ้ามือ (ดีลเลอร์) ก็ให้ถือว่าผู้เล่นเป็นฝ่ายชนะ แต่ทว่าไพ่ของผู้เล่นมีแต้มมากกว่า 21 ก็จะแพ้ในทันที

7.เมื่อไพ่ของผู้เล่น และ เจ้ามือ มีแต้มไพ่เท่ากันในช่วงระหว่าง 17 – 21 ให้ถือว่าไม่มีฝ่ายไหนชนะ หรือที่เรียกกันว่า “เสมอ” ผู้เล่นก็จะไม่ได้รับเงินรางวัล ได้แต่เงินเดิมพันกลับคืนมาทั้งหมดเท่านั้นเอง

ไพ่แบล็คแจ็คมีวิธีเล่นยังไง

  1. ก่อนที่จะเริ่มเล่นทางคาสิโนจะมีนาฬิกาจับเวลาให้กับผู้เล่นวางเงินเดิมพัน เพื่อให้เวลากับผู้เล่นสามารถที่จะเลือกได้ว่าต้องการเดิมพันตรงตำแหน่งไหน หรือถ้าเลือกตำแหน่งไม่ได้ก็วางเดิมพันลงไปทุกตำแหน่งได้เช่นกัน
  2. เมื่อผู้เล่นเลือกและวางเดิมพันครบแล้ว ดีลเลอร์ก็จะเริ่มดำเนินการแจกไพ่ โดยผู้เล่นจะได้รับไพ่แจกคนละ 2 ใบ แบบคว่ำหน้า แต่ในส่วนไพ่ของดีลเลอร์จะถูกเปิดไพ่หงายไว้ 1 ใบ ส่วนอีก 1 ใบจะถูกปิดไว้ก่อน

เกมไพ่blackjack

  1. หลังจากที่ผู้เล่นเห็นไพ่ที่ได้รับแจกแล้ว ก็สามารถที่จะเรียกของไพ่เพิ่มได้ แต่จะเริ่มแจกตำแหน่งแรกทางขวามือก่อน และเลือกเพิ่มได้เรื่อย ๆ จนกว่าจะได้ผลรวมแต้มที่พอใจ คือ ต้องให้แต้มใกล้เคียงกับ 21 มากที่สุด ซึ่งคำสั่งในการเรียกไพ่เพิ่ม = Hit , ถ้าต้องการพอ = Stand , เพิ่มเงิน = Double และ ประกัน = Insurance
  2. กรณีที่คุณเลือกเพิ่มเงิน (Double) เงินคงเหลือของเราก็จะถูกดึงออกมา เพื่อเพิ่มเงินเดิมพันให้เป็น 2 เท่า
  3. ระหว่างที่เล่นอยู่ระบบจะจับเวลาตอนที่คุณเรียกไพ่ ซึ่งในช่วงนั้นคุณจะต้องเลือกว่าต้องการจะ “เรียกไพ่เพิ่ม” หรือจะ “อยู่” หากว่าคุณนิ่งเฉยไม่ตัดสินใจว่าจะเลือกอะไร ระบบก็จะถือว่าคุณ “อยู่” อัตโนมัติในทันที
  4. ถ้าผู้เล่นทุกคนที่อยู่บนโต๊ะ ได้เรียกไพ่เพิ่มแล้วแต้มออกมาเกิน 21 แต้ม ในขณะที่เจ้ามือมีแต้มอยู่ 17 แต้มขึ้นไป เจ้ามือก็จะสามารถเปิดไพ่ใบที่ 2 พร้อมกับขอวัดแต้มกับผู้เล่นได้เลยโดยไม่ต้องเรียกไพ่ใบที่ 3 เพิ่ม แต่ถ้ากรณีที่ไพ่ทั้งสองใบของเจ้ามือมีแต้มรวมกันน้อยกว่า 17 แต้ม เจ้ามือก็จะทำการเรียกไพ่เพิ่มเพื่อให้ได้แต้มใกล้เคียงกับ 21 แต้ม ในการวัดไพ่กับผู้เล่น

อัตราการจ่ายของเกมไพ่แบล็คแจ็ค

แต่ละคาสิโนออนไลน์ก็จะมีอัตราการจ่ายไม่เท่ากัน แต่ส่วนใหญ่แล้วอัตราการจ่ายจะอยู่ ดังนี้

-ผู้เล่นเป็นฝ่ายชนะ             อัตราจ่ายจะอยู่ที่          1 : 1

-Insurance                          อัตราจ่ายจะอยู่ที่          2 : 1

-Blackjack (ผู้เล่นชนะด้วยไพ่ 2 ใบแต้ม 21) อัตราจ่ายจะอยู่ที่        3 : 1

แบล็คแจ็คประวัติ

-ไพ่หมอบ / แยกไพ่  อัตราจ่ายจะอยู่ที่    ได้เงินเดิมพันคืน 100%

-คู่ผสม                              อัตราจ่ายจะอยู่ที่             6 : 1

-คู่สี                                   อัตราจ่ายจะอยู่ที่             12 : 1

-คู่เพอร์เฟค                      อัตราจ่ายจะอยู่ที่             25 : 1

เป็นอย่างไรกันบ้างกับรายละเอียดของเกมไพ่แบล็คแจ็คทั้ง ประวัติ กฎ กติกา วิธีเล่นเกม ที่เราได้รวบรวมมาให้ชนิดที่ว่าละเอียดยิบเลยทีเดียว ถึงใครที่ไม่เคยเล่นเกมไพ่แบล็คแจ็คมาก่อน ก็สามารถเล่นตามได้อย่างง่าย ๆ เพราะเกมไม่ต้องใช้เทคนิค คิดวิเคราะห์มากเท่ากับเกมไพ่อื่น ๆ ฉะนั้นหวังว่าคงมีประโยชน์กับผู้ที่สนใจเกมไพ่แบล็คแจ็ค ได้ลองเข้าไปเล่นได้ที่คาสิโนออนไลน์ที่มีเปิดให้เล่นอยู่มากมาย และขอให้สนุกกับเกมพร้อมกับได้กำไรคืนมาอย่างงามด้วยล่ะ

Categories
Uncategorized เกมไพ่แบล็คแจ็ค

แบล็คแจ็ค เกมไพ่ของคนยุคใหม่ เล่นอย่างไรที่นี่มีคำตอบ

แบล็คแจ็ค เล่นอย่างไร ที่นี่มีคำตอบ


( แบล็คแจ็ค เล่นอย่างไร ที่นี่มีคำตอบ ) เกมไพ่แบล็คแจ็คอาจจะเป็นเกมไพ่ที่ใหม่สำหรับนักพนันบางคน ในขณะเดียวกันก็มีนักพนันอีกจำนวนไม่น้อยที่รู้จักและให้ความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นเกมที่เล่นแล้วสร้างความสนุกสนาน แถมมีขั้นตอนการเล่นง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก ซับซ้อนเท่าไหร่ แต่ถ้าใครที่สนใจอยากเล่น และอยากรู้รายละเอียดการเล่นให้มากขึ้น วันนี้เราจะพาคุณไปศึกษาให้เข้าใจจนสามารถเล่นได้ไม่แพ้มืออาชีพเลยทีเดียว

คุณอาจสนใจบทความนี้ คลิกอ่าน  แบล็คแจ็ค เกมพนันที่มีประวัติความเป็นนานนับทศวรรษ

เล่นไพ่แบล็คแจ็ค

กติกา การเล่นแบล็คแจ็คมีอะไรบ้าง

เกมไพ่แบล็คแจ็คเป็นเกมไพ่ประเภทหนึ่งที่มีรูปแบบการเล่นที่แตกต่างจากเกมไพ่อื่น ๆ ที่ผู้เล่นต้องแข่งกันเอง หรือว่าผู้เล่นแข่งกับเจ้ามือ แต่สำหรับเกมแบล็คแจ็คจะมีลักษณะการเล่นโดยให้สมาชิกที่เป็นผู้เล่นในวงทุกคนนับแต้มไพ่แข่งกับเจ้ามือ ซึ่งหากฝั่งใดได้ไพ่ที่มีแต้มใกล้เคียง หรือเท่ากับ 21 แต้ม ก็จะเป็นฝ่ายชนะในเกมทันที แต่ถ้าแต้มไพ่ออกมาเกิน 21 แต้มก็จะเท่ากับว่าเป็นฝั่งแพ้เช่นกัน

ศัพท์ที่ควรรู้ในเกมไพ่แบล็คแจ็ค

โดยปกติแล้วเกมไพ่ทุกชนิดมักจะมีคำศัพท์เรียกเฉพาะสัญลักษณ์ของเกม เหมือนกับเกมไพ่แบล็คแจ็คที่จะมีคำศัพท์ในการเล่นไพ่เฉพาะเช่นเดียวกัน ส่วนจะมีอะไรบ้าง รวมทั้งคำศัพท์แต่ละคำต้องนำมาใช้ตอนไหนเมื่อไหร่ ลองมาดูกัน

– แบล็คแจ็ค (Blackjack) : จะเป็นการนำไพ่สองใบแรกมารวมกันแล้วได้ 21 แต้มทันที

– Hit : คือการที่ผู้เล่นเรียกไพ่เพิ่ม เพื่อให้ได้แต้มใกล้เคียง หรือเท่ากับ 21 แต้มได้มากที่สุด (เรียกได้กี่ครั้งก็ได้ไม่จำกัดจำนวนครั้งจนกว่าจะได้)

– Stand : หรือบางครั้งอาจจะเรียกว่า Stay, Stick, Stand pat หมายความว่าผู้เล่นพึงพอใจแล้วกับไพ่ที่ได้รับแจกมา

– Double down : เป็นการที่ผู้เล่นลงเงินเดิมพันเพิ่มขึ้นอีกเป็น 2 เท่า แต่มีเงื่อนไขว่าจะเรียกไพ่เพิ่มได้เพียง 1 ใบ ห้ามเรียกเพิ่ม (ในกรณีนี้จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อตอนที่ได้รับไพ่ 2 ใบแรกเท่านั้น) ยกตัวอย่างเช่น เมื่อคุณได้รับไพ่แจก 2 ใบแรก นับแต้มรวมเท่ากับ 11 แต้ม อาทิ ได้ไพ่เลข 5,6 ซึ่งในตอนนี้ถ้าคุณต้องการเสี่ยงก็สามารถวางเงินเดิมพันเพิ่มขึ้นไปเป็นสองเท่า โดยจะต้องวางเงินเดิมพันลงทับเส้นกรอบสี่เหลี่ยม หลังจากวางเดิมพันแล้วก็เรียกไพ่เพิ่มได้อีกเพียง 1 ใบ ก็จะเท่ากับว่าเป็นใบที่ 3 เพื่อให้คุณได้ลุ้นว่าแต้มไพ่จะออกมาเป็น 10 แต้ม เพราะหากออกมาเป็น 10 แต้ม เมื่อนำไปรวมกับ 11 แต้มที่ได้ตอนแรก ก็จะเท่ากับ 21 แต้ม ซึ่งคุณก็จะกลายเป็นฝ่ายชนะทันที

แบล็คแจ็คเล่นอย่างไร

– Split : (ใช้ได้ก็ต่อเมื่อได้ไพ่ 2 ใบแรกเท่านั้น) สำหรับกรณีนี้ถ้าคุณได้ไพ่คู่ เช่น ไพ่เลข 5 สองใบ เจ้ามือก็จะร้องถามว่าต้องการที่จะ Split (แยกไพ่) ไหม หากว่าคุณตกลง คุณก็จะได้สิทธิในการแยกไพ่ 5 แต้มทั้งสองใบ ออกเป็น 2 ชุด หลังจากนั้นก็ให้คุณทำการเรียกไพ่เพิ่มได้ตามปกติ ซึ่งไพ่ทั้งสองชุดนี้คุณสามารถนำไปใช้เดิมพันกับเจ้ามือได้เลยเช่นกัน

– Surrender : (ใช้ได้ต่อเมื่อได้ไพ่ 2 ใบแรกเท่านั้น) คือ ระหว่างเล่นอยู่ในเกมผู้เล่นสามารถขอยอมแพ้ได้ แต่จะได้รับเงินพนันคืนกลับมาแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น

– Insurance : (ใช้ได้ต่อเมื่อได้ไพ่ 2 ใบแรกเท่านั้น) คือ ถ้าไพ่ใบแรกของเจ้ามือได้แต้มเป็น A เจ้ามือก็จะถามผู้เล่นว่าทำ Insurance ไหม ซึ่งหากผู้เล่นคนไหนเลือกทำก็จะมีเงื่อนไขให้เพิ่มเงินเดิมพันลงไปอีกครึ่งของจำนวนเงินที่เดิมพันลงไปตอนแรก (อาทิ ตอนต้นวางเงินเดิมพันไปแล้ว 1,000 บาท จำนวนเงิน Insurance ก็จะเท่ากับ 500 บาท) เพราะโอกาสที่เจ้ามือจะชนะได้ไพ่ A มีสูงมาก ผู้เล่นบางคนจึงต้องการวางเดิมพันกันเสี่ยงไว้ก่อน

  • กรณีที่เจ้ามือได้ไพ่แบล็คแจ็ค ผู้เล่นก็จะได้เงินเดิมพันในส่วนที่ทำ Insurance คืนกลับไป รวมทั้งจะได้รับเงินเดิมพันคืนอีกด้วย เท่ากับเงินที่ได้ทั้งหมดจะอยู่ที่ 1,500 บาท
  • แต่ถ้าเป็นกรณีเจ้ามือดันแพ้ ผู้เล่นก็จะโดนริบเงินที่ทำ Insurance ไปด้วยเหมือกัน

การที่มีเงื่อนไข Insurance ขึ้นมาก็เพื่อที่จะช่วยประกันความเสี่ยงให้กับผู้เล่น ในกรณีที่เจ้ามือได้แต้ม 21 หรือแบล็คแจ็คนั่นเอง

เกมไพ่แบล็คแจ็คเล่นอย่างไร

ไพ่แต่ละใบจะมีแต้ม คือ

– A ทุกสี จะถูกนับเป็นแต้ม 11 หรือจะนับเป็นแต้ม 1 ก็ได้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในช่วงนั้น

– ตัวอักษรภาษาอังกฤษ J, Q, K ทุกสี ให้นับแต้มเท่ากับ 10

– ไพ่เลข 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10 ทุกสี การนับแต้มก็ให้นับตามตัวเลขได้เลย

ยกตัวอย่างเช่น

  • กรณีที่ได้ไพ่ A รวมกับไพ่ใบใดใบหนึ่ง ที่อยู่ในกลุ่มไพ่ฝรั่ง J, Q, K เช่น A ดอกจิก กับ J ดอกจิก การนับแต้มก็เท่ากับ แต้ม 11 เพราะไพ่ A ดอกจิกจะมีค่าเท่ากับ 1
  • แต่ถ้าไพ่ A ไปอยู่รวมกับไพ่ใบใดใบหนึ่งของไพ่กลุ่มตัวเลข 2-9 เช่น 2 หัวใจ, A หัวใจ, 3 หัวใจ กรณีนี้ไพ่ A หัวใจก็จะมีค่าแค่ 1 แต้มเท่านั้น

คุณอาจสนใจบทความนี้ คลิกอ่าน สอนกฎ กติกา การนับแต้มไพ่ เก้าเก อย่างละเอียดที่นี้ ที่เดียว

วิธีการแจกไพ่

ส่วนวิธีการแจกไพ่จะมีขั้นตอนการแจก ดังนี้

1. เจ้ามือจะเริ่มทำการแจกไพ่ให้กับผู้เล่นคนละ 1 ใบก่อน แล้วถึงจะแจกให้กับตนเอง จากนั้นเจ้ามือก็จะเริ่มแจกไพ่ใบที่ 2 ให้อีกคนละ 1 ใบ เท่ากับว่าผู้เล่นจะมีไพ่ในมือคนละ 2 ใบ (การแจกเจ้ามือจะคว่ำไพ่ให้กับผู้เล่นเสมอ)

2. เมื่อได้รับไพ่แจกครบแล้ว ผู้เล่นจะทำการหงายไพ่เพื่อดูว่าแต้มไพ่ทั้ง 2 ใบนี้เมื่อรวมกันแล้วจะได้แต้มถึง 21 แต้มหรือไม่ หากยังไม่ถึงก็สามารถขอไพ่เพิ่มจากเจ้ามือได้ไม่จำกัดจำนวน แต่ถ้าไพ่เกิน 21 คะแนน ผู้เล่นก็จะถูกปรับแพ้ในทันทีเช่นกัน (การเรียกไพ่จะเรียกได้ทีละคนตามลำดับการแจก ซึ่งเจ้ามือจะเรียกไพ่ได้เป็นคนสุดท้ายต่อจากผู้เล่น)

3. กติกาของแบล็คแจ็ค เจ้ามือจะสามารถเรียกไพ่อย่างต่ำได้ 17 แต้ม หากผู้เล่นได้แต้มตั้งแต่ 16 ลงมาก็ถือว่าแพ้ให้กับเจ้ามือ แต่หากเจ้ามือเปิดไพ่หงายขึ้นมาแล้วเจ้ามือได้แต้มไม่ถึง 21 แต้ม เกมก็จะยังคงเล่นต่อไป

4. และกรณีที่ได้แต้มเสมอกัน ผู้เล่นก็จะได้รับเงินเดิมพันของตัวเองคืน

blackjack

วิธีพื้นฐานในการเล่นไพ่แบล็คแจ็ค

1. เจ้ามือมีหน้าที่แจกไพ่ : โดยเจ้ามือจะเริ่มแจกไพ่ให้กับผู้เล่นคนละ 1 ใบก่อน

2. เจ้ามือแจกไพ่ให้กับตัวเอง : เมื่อแจกไพ่ให้ผู้เล่นแล้ว ต่อมาเจ้ามือก็จะเริ่มแจกไม่ไพ่ให้กับตัวเอง 1 ใบ แล้วจึงวนแจกไพ่ใบที่ 2 ให้กับผู้เล่นอีกคนละ 1 ใบ รวมแล้วตอนนี้ผู้เล่นทุกคนจะต้องมีไพ่คนละ 2 ใบอยู่ในมือ (ไพ่ของผู้เล่นจะต้องอยู่ในตำแหน่งคว่ำเสมอ แต่ส่วนของเจ้ามือไพ่ 1 ใบจะหงาย และอีก 1 ใบจะคว่ำไว้ก่อน)

3. ผู้เล่นเรียกไพ่เพิ่ม : หลังจากผู้เล่นดูไพ่ของตัวเองแล้ว หากยังรู้สึกไม่ค่อยพอใจกับแต้มที่ได้รับ ก็สามารถร้องขอไพ่จากเจ้ามือเพิ่มได้ตามต้องการจนกว่าจะได้แต้มไพ่รวมทั้งหมดที่ 21 แต้ม

4. เจ้ามือจะเปิดไพ่ใบแรกของตัวเอง : ลำดับต่อมาเจ้ามือจะเปิดไพ่ใบแรกของตัวเองให้สมาชิกผู้เล่นคนอื่นได้เห็นเพียงแค่ 1 ใบเท่านั้น ส่วนอีก 1 ใบเจ้ามือจะคว่ำไว้ก่อน รอจนกว่าผู้เล่นในวงจะเรียกขอไพ่เพิ่มจนครบที่ต้องการ

5. เจ้ามือ จั่วไพ่ : เมื่อผู้เล่นขอจั่วไพ่จนครบและได้แต้มรวมตามที่ต้องการหมดแล้ว เจ้ามือถึงจะทำการเปิดไพ่ของตัวเอง รวมทั้งจั่วไพ่เพิ่ม ซึ่งเงื่อนไขของเจ้ามือก็คือ เจ้ามือจะสามารถเรียกไพ่เพิ่มได้จนกว่าจะได้แต้มเท่ากับ 17 แต้มถึงจะหยุดจั่วไพ่เพิ่ม หรือเข้าใจได้แบบสั้น ๆ ก็คือ แต้มต่ำสุดของเจ้ามือจะเท่ากับ 17 แต้มนั่นเอง

  • กติกาสำคัญของแบล็คแจ็ค คือ เจ้ามือจะสามารถเรียกไพ่เพิ่มให้ได้แต้มถึง 17 เป็นอย่างต่ำ หากว่าผู้เล่นได้แต้ม ตั้งแต่ 16 ลงมา เท่ากับว่าแพ้เจ้ามือ
  • แต่ทว่าผู้เล่นพอใจที่จะได้ 16 แต้ม ก็สามารถหยุดจั่วเพิ่มได้ แล้วเสี่ยงดูว่าเจ้ามือจะได้แต้มเกิน 21 หรือไม่ เพราะหากเจ้ามือได้เกินผู้เล่นก็จะเป็นฝ่ายชนะ

blackjack เล่นยังไง

จะเห็นได้ว่าการเล่นไพ่แบล็คแจ็คไม่ยุ่งยาก ซับซ้อน เท่าไหร่ แค่คุณต้องศึกษาและทำความเข้าใจอย่างละเอียด คุณก็สามารถลงสนามไปเล่นสู้วัดดวงกับเจ้ามือได้เลย